53 : سنريهم آياتنا في الآفاق وفي أنفسهم حتّى يتبيّن لهم أنّه الحقّ “ فصّلت “
อิสลามสอนให้เชื่อพระเจ้า
ศาสนาอิสลามสอนให้เฃื่อศรัทธาการมีพระเจ้า (อัลลอฮฺ) อัลลอฮฺตรัสว่า: “فاعلم أنه لا إله إلاّ الله” ความว่า: ฉะนั้นพึงรู้เถิดว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด (ที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้) นอกจากอัลลอฮฺ (มูฮัมมัด:19). ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ผู้ทรงเป็นเจ้าของ ผู้ทรงกำหนดระเบียบและกฎเกณฑ์ธรรมชาติ (سنة الله) ตามพระประสงค์อย่างสมดุลและยุติธรรม ผู้ทรงสร้างและกำหนดกฏสภาวการณ์ อัลลอฮฺตรัสว่า: “وخلق كلّ شيء فقدّره تقديرا” ความว่า: และพระองค์ทรงให้บังเกิดทุกสิ่งแล้วทรงกำหนดมันให้เป็นไปตามกฏสภาวะ (กฏแห่งพระองค์) (อัลฟุรกอน:2). และอัลลอฮฺตรัสว่า:“ وأنزلنا معهم الكتاب والميزان ليقوم النّاس بالقسط” ความว่า: และเราได้ประทานคัมภีร์แก่พวกเขาและความยุติธรรม (ตาชั่งตวงวัดที่สมดุล) ลงมาพร้อมกับพวกเขา เพื่อมนุษย์จะได้ดำรงอยู่บนความเที่ยงธรรม (อัลฮะดีด:25). และส่วนหนึ่งในสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง (مخلوق) คือการสร้างมนุษย์ (الإنسان). อัลลอฮฺตรัสว่า: “لقد خلقنا الإنسان في أحسن تقويم” ความว่า: โดยแน่นอน เราได้บังเกิดมนุษย์มาในรูปแบบสวยงามยิ่ง(อัตตีน:4).
มนุษย์และปัญญา
พระองค์ทรงประทานและประดับมนุษย์ด้วยปัญญา เพื่อรองรับการเรียนรู้ ทำให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐเลิศยิ่ง. อัลลอฮฺตรัสว่า:
“إنّ في ذلك لآيات لأولى النّهى” ความว่า: แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณมากหลายสำหรับปัญญาชน(ฏอฮา:54). ด้วยปัญญาเพื่อรองรับการเรียนรู้ พระองค์ทรงอำนวยการสอนมนุษย์ด้วยวิทยการต่างๆ สำหรับที่จะรองรับภารกิจและหน้าที่ที่จะมอบหมายและเพื่อการสร้างสรรค์การดำรงชีวิตในแผ่นดินต่อไป อัลลอฮฺตรัสว่า: “الرّحمن علّم القرآن خلق الإنسان علّمه البيان” ความว่า: อัรรอฮมาน(พระผู้ทรงกรุณาปรานี) พระองค์ทรงสอนอัลกุรอาน พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสอนเขาให้เปล่งเสียงพูด (ที่สื่อสารด้วยปัญญา) (อัรรอฮมาน:1-4). การสอนมนุษย์ที่มาเป็นรากฐานแห่งปัญญาและความรู้ พระองค์ทรงสอนคัมภีร์ต่างๆที่ได้ประทานแก่บรรดาศาสนฑูตตามกาลยุคสมัยมาเป็นคู่มือแก่มวลมนุษยชาติ เป็นทางนำและแบบอย่างทีดีในการดำเนินวิถีชีวิตที่เป็นธรรม(الصّراط المستقيم)คือเส้นทางที่เที่ยงตรง.
คู่มือมนุษยชาติ
พระองค์ทรงประทานคัมภีร์อัลกุรอานเพื่อเป็นทางนำ คู่มือ กฏระเบียบการดำเนินชีวิตที่เที่ยงธรรมสมบูรณ์สำหรับผู้ศรัทธาและมนุษยชาติทั้งหลาย อัลลอฮฺตรัสว่า: “إن هذا القرآن يهدي للّتي هي أقوم” ความว่า: แท้จริง อัลกุรอานนี้นำสู่ทางที่เที่ยงตรงยิ่ง (อัลอิสรออฺ:9) ส่วนสำหรับผู้ศรัทธา อัลลอฮฺตรัสว่า: “ذلك الكتاب لا ريب فيه هدى للمتّقين” ความว่า: คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใดๆในนั้น เป็นคำแนะนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น (อัลบะกอรอฮฺ:2) และสำหรับมนุษยชาติ อัลลอฮฺตรัสว่า: “هدى للنّاس وبيّنات من الهدى والفرقان” ความว่า: เป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์ และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อแนะนำนั้นและเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ (อัลบะกอรอฮฺ:185). คัมภีร์อัลกุรอานก็เป็นศาสตร์ที่ชี้นำมนุษย์สู่ทางอันเที่ยงตรง ใช้เป็นคู่มือสำหรับมนุษย์เองและการที่มนุษย์จะเข้าใจและใช้ประโยชน์จากสรรพสิ่งทั้งหลาย.
ศาสนฑูต ภารกิจ และแบบอย่างที่ดี
พระองค์ทรงแต่งตั้งศาสนฑูตเพื่อเป็นผู้ชี้นำทางชีวิต นำสัจธรรม เผยแพร่คำสอน เป็นแบบอย่างสำหรับมนุษยชาติและแผ่เมตตาต่อสากลโลก อัลลอฮฺตรัสว่า : “وماأرسلناك إلّا رحمة للعالمين” ความว่า: และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่ประชาชาติทั้งหลาย (อัลอัมบิยะอฺ:107). อัลลอฮฺตรัสว่า: “وماأرسلناك إلّا كافّة للنّاس بشيرا ونذيرا ولكنّ أكثر النّاس لايعلمون” ความว่า: และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด เว้นแต่เป็นผู้แจ้งข่าวดี และเป็นผู้ตักเตือนแก่มนุษย์ทั้งหลายแต่ว่าส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้ (สะบะอฺ:28).และอัลลอฮฺตรัสว่า “ ياأيها النبيّ إنّا أرسلناك شاهدا ومبشّرا ونذيرا وداعيا إلى الله بإذنه وسراجا منيرا” ความว่า: โอ้ นะบีเอ๋ย แท้จริง เราได้ส่งเจ้ามาเพื่อให้เป็นพยาน และแจ้งข่าวดี และผู้ตักเตือนและเป็นผู้เรียกร้องเชิญชวนไปสู่อัลลอฮฺตามพระบัญชาของพระองค์และเป็นดวงประทีปอันแจ่มจรัส (อัลอะหฺซาบ:45-46) และการเป็นผู้นำและแบบอย่างที่ดีงามสำหรับมนุษยชาติ อัลลอฮฺตรัสว่า:
“لقد كان لكم في رسول الله أسوة حسنة لمن كان يرجو الله واليوم الآخر” ความว่า: โดยแน่นอนในรอซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว สำหรับผู้ที่หวัง(จะพบ)อัลลอฮฺและวันปรโลก (อัลอะหฺซาบ:21). ทั้งนี้ รอซูลจึงเป็นผู้นำสาส์น คำสั่งสอน นำวิทยปัญญา ผู้เผยแพร่ นำการปฏิบัติและเป็นแบบอย่างที่ดี.
ปัญญา (العقل) กับความรู้ (العلم)
มนุษย์ฅนแรก (อาดัม) ถูกบังเกิดขึ้น พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสแก่บรรดามลาอิกะฮฺ (الملآئكة-เป็นมัคลูคจำพวกหนึ่ง) ถึงคุณลักษณะ ความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับมัคลูค (สิ่งถูกสร้าง) อื่นๆ ทางด้านอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของพวกเขา คือ การมีสติปัญญาและความรู้ ดังเช่น อัลลอฮฺตรัสว่า : “إنّ في ذلك لآيات لأولى النّهى” ความว่า: แท้จริงในการนั้น แน่นอน ย่อมเป็นสัญญาณมากหลายสำหรับปัญญาชน (ฏอฮา:54). การเตรียมความพร้อมของมนุษย์ทางด้านความรู้ พระองค์ทรงได้สั่งสอนแก่อาดัมและลูกหลานอาดัมให้รู้จักชื่อและตัวตนสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดตามที่พระองค์ทรงประสงค์อัลลอฮฺตรัสว่า: “وعلّم آدم الأسماء كلّها” ความว่า: และพระองค์ได้ทรงสอนบรรดานามทั้งปวงให้แก่อาดัม (อัลบะกอรอฮฺ:31). ด้วยความเหนือกว่าของมนุษย์ที่มีปัญญาและความรู้ซึ่งต่างจากสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น พระองค์ทรงเชิดชูเกียรติแก่มนุษย์ด้วยการประทานสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายประการเพื่อใช้ประโยชน์จากมัน อัลลอฮฺตรัสว่า:“ولقدكرّمنا بني آدم وحملناهم في البرّ والبحر ورزقناهم من الطيّبات وفضّلناهم على كثير ممّن خلقنا تفضيلا” ความว่า: และโดยแน่นอน เราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานของอาดัม และเราได้บรรทุกพวกเขาทั้งทางบกและทางทะเล และได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแก่พวกเขา และได้ให้พวกเขาดีเด่นอย่างมีเกียรติเหนือกว่าผู้ที่เราได้บังเกิดมาเป็นส่วนใหญ่ (อัลอิสรออฺ:70). อันเนื่องมนุษย์มีความพร้อมด้วยปัญญาและความรู้นี้ทำให้เพวกเขาป็นผู้มีวิทยปัญญาเหนือสิ่งอื่นใด.
วิทยปัญญากับมนุษย์
การให้ปัญญาแก่มนุษย์ก็เพื่อรองรับการเรียนรู้และวิทยาการต่างๆ นำพาพวกเขาให้เข้าถึง เข้าใจแก่นชีวิต รู้จักบทบาทและหน้าที่ การมีชีวิตที่ดี ดำรงอยู่บนสัจธรรม ทั้งนี้พระองค์ทรงสั่งสอนสิ่งเหล่านี้แก่อาดัมและลูกหลาน (มนุษยชาติ) ไว้อย่างเรียบร้อย แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่พระองค์ทรงประทานไว้ให้แก่มนุษย์อย่างจำกัดเท่านั้น อัลลอฮฺตรัสว่า: “ ًوما أوتيتم من العلم إلاّ قليلا” ความว่า: และพวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆเว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น (อัลอิสรออฺ:85) ส่วนบทบาทหน้าที่และภารกิจของมนุษย์นั้นพระองค์ทรงมอบหมายแก่อาดัมและลูกหลานต่อมาอย่างหนึ่งคือการเป็นคอลีฟะฮฺ (ผู้แทน/ผู้รับผิดชอบทำหน้าที่แทน) ของพระองค์ในแผ่นดิน อัลลอฮฺตรัสว่า: “وإذ قال ربّك للملآئكة إنّي جاعل في الأرض خليفة” ความว่า: และจงรำลึกถึงขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้ตรัสแก่มลาอิกะฮฺว่า แท้จริงข้าจะให้มีผู้แทนคนหนึ่งในพิภพ (อัลบะกอรอฮฺ:30). และ สำหรับลูกหลานอาดัม อัลลอฮฺตรัสว่า: “هو الّذي جعلكم خلائف في الأرض” ความว่า: พระองค์ผู้ทรงแต่งตั้งพวกเจ้าให้เป็นตัวแทนรับช่วงในแผ่นดิน (ฟาฏิร:39). การสืบทอดตำแหน่งคอลีฟะห์บนแผ่นดินในฐานะผู้รับภาระหน้าที่ที่ได้มอบหมาย ดังเช่น เป็นผู้ศรัทธา การภักดีต่อพระองค์ การมีอำนาจและบทบาทหน้าที่การนำ การปกครอง การพิทักษ์ปกป้องคุณธรรม และฟื้นฟูพิภพ อัลลอฮฺตรัสว่า: “هو أنشأكم من الأرض واستعمركم فيها” ความว่า: พระองค์ทรงบังเกิดพวกท่านจากแผ่นดิน และทรงให้พวกท่านพำนักอยู่ในนั้น (ทรงให้มนุษย์สร้างสรรค์ชีวิตและอาชีพ สร้างอารยธรรม เชิดชูคุณธรรมในแผ่นดิน)(ฮูด:61).
คอลีฟะฮฺกับอะมานะฮฺ
พระองค์ทรงมอบหมายให้มนุษย์แบกรับภาระ(الأمانة)ในฐานะการเป็นคอลีฟะฮฺในแผ่นดินตามความประสงค์ของพระองค์อย่างมีความรับผิดชอบและซื่อสัตย์สุจริต อัลลอฮฺตรัสว่า : “إنّا عرضنا الأمانة على السّماوات والأرض والجبال فأبين أن يحملنها وأشفقن منها وحملها الإنسان إنه كان ظلوما جهولا” ความว่า: แท้จริงเราได้เสนอการอะมานะฮฺ (คือบทบัญญัติต่างๆทางศาสนาทั้งข้อใช้และข้อห้าม) แก่ชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และขุนเขาทั้งหลาย แต่พวกมันปฏิเสธจะแบกรับมันและกลัวต่อมัน (คือภาระอันหนักอึ่ง) และมนุษย์ได้แบกรับมัน แท้จริงเขา (มนุษย์) เป็นผู้อธรรมงมงายยิ่ง (อัลอะหฺซาบ : 72). การรับอะมานะฮฺในฐานะคอลีฟะฮฺนี้ พระองค์ทรงมีคำสั่งให้มนุษย์ทำหน้าที่และปฏิบัติตามสัจธรรม (الحق) และจรรโลงความยุติธรรม (العدل) อัลลอฮฺตรัสว่า : “يا داود إنّا جعلناك خليفةً في الأرض فاحكم بين الناس بالحقّ ولا تتّبع الهوى فيضلّك عن سبيل الله” ความว่า: โอ้ ดาวู๊ดเอ๋ย! เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้แทนในแผ่นดินนี้ ดังนั้น เจ้าจงตัดสินคดีต่างๆระหว่างมนุษย์ด้วยความยุติธรรมและอย่าปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ มันจะทำให้เจ้าหลงทางไปจากทางของอัลลอฮฺ (ศอด:26). การธำรงไว้พันธกิจของคอลีฟะฮฺและการรับอามานะฮฺที่ยิ่งใหญ่ที่หนักอึ่งนี้ มนุษย์จำเป็นต้องพึ่งพาปัญญาและความรู้จากการศึกษาเรียนรู้ ประสบการณ์ และการปฏิบัติทีดี, การแสวงหาความรู้ของมนุษย์ พระองค์ทรงมีคำสั่งและวิธีการให้นำหลักการอ่านและการจดบันทึกที่เป็นลายลักษย์อักษร ดังโองการแรกของอัลกุอานที่ประทานลงมาที่อัลลอฮฺตรัสว่า: “إقرأ باسم ربّك الّذي خلق ،خلق الإنسان من علق ،إقرأ وربّك الأكرم ،الّذي علّم بالقلم ،علّم الإنسان مالم يعلم” ความว่า: จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิดและพระเจ้าของเจ้านั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ (อัลอะลัค:1-5). ดังนั้น การเป็นคอลีฟะฮฺกับการดำเนินภารกิจอมานะฮฺนี้ มนุษย์จำเป็นต้องพึ่งพาวิทยปัญญามาเป็นตัวชี้นำทางและให้บรรลุเป้าหมายอย่างถูกต้องและสมบูรณ์.
ความสำคัญของวิทยปัญญาในอิสลาม
โองการแรกของอัลกุรอานที่ประทานลงมา เริ่มต้นด้วยคำว่า”อิกเราะอฺ” (إقرأ) แปลว่า “จงอ่าน” (อัลอะลัก:1) อ่านในนามแห่งพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสอนมนุษย์ สอนการใช้ปากกา (การเขียน จดบันทึก) และทรงสอนผ่านสื่อคัมภีร์ (อัลกุรอานและคัมภีร์อื่นๆ) ที่ประทานลงมาแก่บรรดาศาสนฑูตก่อนหน้า ดังเช่น พระองค์ทรงสั่งสอนแก่นบีอาดัม อัลลอฮฺตรัสว่า: “وعلّم آدم الأسماء كلّها” ความว่า: และพระองค์ได้ทรงสอนบรรดานามทั้งปวงให้แก่อาดัม (อัลบะกอรอฮฺ:31). ทรงสอนแก่นบีมูหัมมัด อัลลอฮฺตรัสว่า: “الرّحمن علّم القرآن” ความว่า: พระผู้ทรงกรุณาปรานี (พระนามหนึ่งของอัลลอฮฺ) พระองค์ทรงสอนอัลกุรอาน (อัรรอหฺมาน:1-2). ทรงสอนแก่นบีอีซา อัลลอฮฺตรัสว่า: “وإذ علّمتك الكتاب والحكمة والتّوراة والإنجيل” ความว่า: และขณะที่ข้าได้สอนเจ้าซึ่งคัมภีร์และความมุ่งหมายแห่งบัญญัติศาสนา (ความรู้ที่เที่ยงแท้) และอัต-เตารอต (คัมภีร์ที่ถูกประทานแก่นะบี มูซา) และอัล-อินญีล (คัมภีร์ที่ถูกประทานแก่นะบี อีซา) (อัล-มาอิดะฮฺ:110). และทรงสอนแก่นบีอิบรอฮีมและนบีอื่นๆ อัลลอฮฺตรัสว่า: “ربّنا وابعث فيهم رسولاً منهم يتلوا عليهم آياتك ويعلّمهم الكتاب والحكمة ويزكّيهم” ความว่า : ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของพวกข้าพระองค์โปรดส่งรอซูลคนหนึ่งคนใดจากพวกเขาเองไปในหมู่พวกเขาซึ่งเขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะได้สอนคัมภีร์และความมุ่งหมายแห่งบทบัญญัติให้พวกเขาทราบและซักฟอกพวกเขาให้สะอาด (อัล-บะเกาะเราะฮฺ:129). บรรดาคัมภีร์เหล่านั้นเป็นขุนคลังแห่งวิทยปัญญาสำหรับมนุษย์ได้สืบทอดกันต่อมา.
มนุษย์ผู้ครองวิทยปัญญากับภารกิจเป็นผู้รับอามานะฮฺ
พระองค์ทรงส่งนบีท่านแรกอาดัม (อะลัยฮิสลาม) มาจวบจนถึงนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ผู้เป็นทูตนำวิทยปัญญาจากคัมภีร์มาถ่ายทอด สั่งสอนและต่อยอดความรู้แก่มวลมนุษยชาติ เป็นคู่มือชี้นำการดำเนินชีวิต เป็นรากฐานของการสร้างสรรค์อารยธรรมมนุษย์ อัลลอฮฺตรัสว่า : “ هو الّذي بعث في الأمّيين رسولاً منهم يتلوا عليهم آياته ويزكّيهم ويعلّمهم الكتاب والحكمة” ความว่า: พระองค์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งรอซูลขึ้น คนหนึ่งในหมู่ผู้ไม่รู้จักหนังสือจากพวกเขาเอง เพื่อสาธยายอายาตต่างๆของพระองค์แก่พวกเขาและทรงทำให้พวกเขาผุดผ่อง และทรงสอนคัมภีร์และความสุขุมคัมภีรภาพ (สุนนะฮฺนบี-สอนวิธีการปฏิบัติ) แก่พวกเขา (อัลญุมุอะฮฺ:2). คัมภีร์และสุนนะฮฺนี้เป็นคลังวิทยปัญญา ฐานความรู้ ทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ ครอบคลุมวิทยการที่หลากหลาย สำหรับเป็นเครื่องมือชี้นำทางแก่มนุษย์ในการทำหน้าที่เป็นผู้รับอามานะฮฺต่อไป.
วิทยปัญญา ห้องสมุดกับความเป็นมา
อิสลามเชิดชูวิทยปัญญา (العلم والحكمة) เป็นสำคัญยิ่ง โองการอัลกุรอานปฐมบทเริ่มด้วยคำว่า (إقرأ-จงอ่าน) เป็นกุญแจไขประตูสู่ความรู้ (العلم) ถึงแม้การจะรู้จักพระเจ้าก็ต้องนำด้วยความรู้ ดังโองการที่ว่า: “ فاعلم أنه لا إله إلا الله “ การนำด้วยปัญญาและความรู้จึงจะเข้าใจว่ามีพระเจ้า และหะดีษนบีกล่าวว่า : “ طلب العلم فريضة على كلّ مسلم” ความว่า: การแสวงหาความรู้นั้นเป็นที่วาญิบ (บังคับ) แก่มุสลิม (ชาย-หญิง) ทุกคน (บันทึกโดย: อิบนูมาญะห์). ผู้ศรัทธาและผู้มีการศึกษา พระองค์จะยกระดับฐานะที่สูงยิ่งแก่พวกเขา อัลลอฮฺตรัสว่า: “ يرفع الله الّذين آمنوا منكم والّذين أوتوا العلم درجات” ความว่า: อัลลอฮฺจะทรงยกย่องเทอดเกียรติแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และบรรดาผู้ได้รับความรู้หลายชั้น (อัลมุญาดะละฮฺ:11). ดั้งนั้น อิสลามจึงส่งเสริมการศึกษา กระตุ้นให้มนุษย์แสวงหาและเพิ่มพูนความรู้ตลอดเวลา อัลลอฮฺตรัสว่า: “ وقل رّب زدني علمًا” ความว่า: และจงกล่าวเถิดข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดเพิ่มพูนความรู้แก่ข้าพระองค์ด้วย (ฏอฮา:114). และนบีกล่าวว่า: “ الحكمة ضالّة المؤمن حيثما وجدها فهو أحقّ بها” ความว่า: วิทยปํญญาเป็นสิ่งที่สูญหายไปจากมุอฺมิน หากเขาพบมันที่ใด เขานั่นแหละสมควรยิ่งที่จะรับมันไว้ (บันทึกโดย: อินูมาญะห์ และอัตตัรมิซีย์) การศึกษาแสวงหาความรู้ย่อมจะเกิดผลทางวิทยปัญญามากที่สุดแก่ผู้ที่มี่ปัญญาหลักแหลม การศึกษาที่หลุ่มลึกและจริงใจ และบุคคเหล่านี้ได้มีการเรียกว่า นักปราชญ์ (العلماء-อุลามะอฺ) อุลามะอฺมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการศึกษาค้นคว้า บุกเบิกคิดค้นต่อยอดความรู้และเผยแพร่ ท่านนบีได้มีการกล่าวถึงอุลามะอฺว่าเป็นผู้รับมรดกของบรรดานบี ดังหะดีษที่ว่า: “..إنّ العلماء ورثة الأنبياء” ความว่า: แท้จริงบรรดาอุลามะอฺเป็นผู้รับมรดกสืบทอด (ความรู้) ของบรรดานบี (บันทึกโดย: อัตตัรมีซีย์). อิสลามมีทัศนะและเหตุผลความเชื่อที่ว่าคัมภึร์ต่างๆที่พระเจ้าทรงประทานมาพร้อมกับบรรดานบีคือปฐมภูมิวิทยปัญญา เป็นศาสตร์สากลทั้งหลายที่ถูกรวบรวมไว้ในสมุดบันทึก (คัมภีร์) ดังที่พระองค์ทรงสอนแก่นบีอาดัมและบรรดานบีต่อมา (وعلّم آدم الأسماء كلها) เป็นศาสตร์ต่างๆ สำหรับมนุษย์ได้ศึกษาต่อยอดความรู้กันมา (علّم بالقلم). ส่วนวีธีการถ่ายทอดองค์ความรู้น้ันจะผ่านกระบวนการสื่อสารสองประการคือ จากบุคคลที่เป็นอุลามะอฺ หรือ จากตำราที่อุลามะอฺได้เรียบเรียงแต่งขึ้น และหรือถูกบันทึกไว้ในรูปแบบสื่อสนเทศที่หลากหลาย, ด้วยประการที่สองนี้ ความรู้เหล่านั้นได้รับศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ สังเคราะห์ ต่อยอด จดบันทึก และรวบรวมในรูปแบบต่างๆที่ธำรงไว้ซึ่งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและหลักฐานอื่นๆ ทั้งเอกสารสนเทศ หลักฐานทางโบราณคดี และถูกรวบรวมเก็บไว้ในสถานที่เดียวกัน จึงเกิดเป็นคลังผลลัพธ์ทางวิทยปัญญาของมนุษย์ ที่ต่อมามีการเรียกหรือตั้งชื่อขึ้นมา เช่น “ห้องสมุด หอจดหมายเหตุ พิพิธภัณฑ์” หรือชื่ออื่นๆ เป็นต้น. ดังนั้นในประวัติศาสตร์ของอารยธรรมมนุษย์ ห้องสมุดเป็นที่รู้จักหลังจากมนุษย์ได้รู้จักการคิดค้นเครื่องมือการสื่อสาร ประดิษฐ์อักษร การถ่ายทอดวิทยปัญญาผ่านการบันทึกและมีการรวบรวมจัดเก็บในสถานที่เฉพาะของมัน.

Comments are closed